สรุปหน้าที่คาปาซิเตอร์ 6 ข้อ และ การนำตัวเก็บประจุไปใช้งาน
ตัวเก็บประจุทำหน้าที่เก็บประจุและคายประจุ ซึ่งประจุไฟฟ้านั้นจะเกี่ยวข้องกับกระแสไฟฟ้า แรงดันไฟฟ้าและ พลังงานไฟฟ้า จากสมการที่เราเรียนมาในวิชาฟิสิกส์หรือวิชาไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้น มาทบทวนบางส่วนเพื่อให้เห็นภาพ เช่น Q = CV , Q = It และ พลังงานที่สะสมภายในตัวเก็บประจุ W = สมการตามในรูป จะสังเกตเห็นว่าพลังงาน W ที่สะสมจะขึ้นอยู่กับค่าความจุของ C และแรงดันไฟฟ้าที่ตกคร่อม จากรูประหว่างแผ่นเพลตโลหะจะมีสนามไฟฟ้าระหว่างประจุบวกและลบ คาปาซิเตอร์ทำหน้าที่เก็บพลังงานในรูปสนามไฟฟ้า เหล่านี้เป็นหลักการพื้นฐานของตัวเก็บประจุ
ค่าความจุมาก เก็บพลังงานไฟฟ้าได้มาก
พลังงานที่สะสมในตัวเก็บประจุในรูปสนามไฟฟ้า
รูปคาปาซิเตอร์ชนิดต่างๆ
สรุปหน้าที่คาปาซิเตอร์ 6 ข้อ
เมื่อนำมาใช้งานจริงในวงจรไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์คาปาซิเตอร์จะทำหน้าที่อะไรบ้าง ?
จากการศึกษาการทำงานของวงจรต่างๆ สามารถสรุปหน้าที่ของตัวเก็บประจุได้ดังต่อไปนี้ เรียงจากสิ่งที่เราทราบมาแล้วบ้างไปหาข้อมูลใหม่ๆ
1) ทำหน้าที่เก็บพลังงานไฟฟ้า หลักการพื้นฐานของตัวเก็บประจุ เก็บประจุไฟฟ้าหมายถึงเก็บพลังงานไฟฟ้า (W) ดูสมการรูปที่ 1 ด้านบนสุด โดยปริมาณประจุไฟฟ้าจะมีความสัมพันธ์กับกระแสไฟฟ้าและแรงดันไฟฟ้าตามสมการ Q = It , Q = CV คาปาซิเตอร์ตัวใหญ่ๆสามารถเก็บประจุไฟฟ้าได้มากและสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้มาก สังเกตได้จากวงจรแหล่งจ่ายไฟวัตต์สูง UPS วงจรขับ ( Driver ) แบบต่างๆที่ใช้กระแสสูง เป็นต้น จะมีคาปาซิเตอร์ตัวใหญ่
รูปคาปาซิเตอร์ตัวใหญ่ มีค่าความจุสูงมาก เช่น 250000 MFD / 50V
รูปคาปาซิเตอร์ตัวใหญ่ มีค่าความจุสูงมาก เช่น 47000 MFD / 100V
ยกตัวอย่างคาปาซิเตอร์ที่ทำหน้าที่เก็บพลังงานนี้ชื่อ Back-up Capacitor ดูตามรูปด้านล่าง ใช้เป็นแบตเตอรี่สำรอง ( Secondary Battery ) ให้ IC ที่เก็บข้อมูลเวลา (Real-time clock (RTC) backup ) และข้อมูลของเครื่อง ( Memory backup ) ระหว่างที่ไม่มีไฟให้วงจร หรือ ปิดเครื่องข้อมูลก็ยังอยู่ Back-up Capacitor นี้มีพลังงานเพียงพอที่จะจ่ายให้ IC เนื่องจาก IC นี้ใช้กระแสไฟน้อยมากมาก กรณีวงจรกินกระแสมากจะใช้แบตเตอรี่จริงแทน เช่น ใน PLC จะใช้แบตเตอรี่จริงติดตั้งลงใน PCB (หรือแบตเตอรี่แบบมีสาย)
คาปาซิเตอร์ Back-up ค่า 1.0F 5.5V
ใช้เมื่ออุปกรณ์ต้องการกระแสน้อยๆ เช่น พวก IC SRAM
ข้อดีของ
คาปาซิเตอร์ Back-up ที่เหนือกว่าแบตเตอรี่คืออายุรอบการใช้งานที่นานกว่าแบตเตอรี่มาก คือจำนวนรอบการเก็บประจุและคายประจุเพื่่อใช้งานมีไซเคิ้ลสูงมาก แต่ก็มีข้อเสียคือจ่ายกระแสไฟได้ระดับที่น้อย อย่างไรก็ตามกระแสไฟระดับนี้ก็เพียงพอสำหรับ IC ขณะที่แบตเตอรี่สามารถจ่ายกระแสได้สูงมากและมีหลายขนาดให้เลือกใช้ด้วย ข้อเสียของแบตเตอรี่คืออายุใช้งานมีรอบที่ไม่สูงมากนัก
แบตเตอรี่มีขา ต่อลง PCB ใช้เมื่อวงจรต้องการกระแสสูง
แบตเตอรี่มีสายและคอนเนกเตอร์เสียบ
2) ทำหน้าที่ DC link Circuit หรือ energy buffering หน้าที่คล้ายๆกับข้อแรกแต่มีรายละเอียดที่แตกต่างออกไปดังนี้
คาปาซิเตอร์ที่ทำหน้าที่ DC Link เป็นคาปาซิเตอร์ตัวใหญ่ ๆ ใน UPS พาวเวอร์ซัพพลาย วงจรแปลงไฟคอนเวอเตอร์แบบต่างๆ และ วงจรขับมอเตอร์ เป็นต้น คาปาซิเตอร์นี้ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างวงจรส่วนต่างๆหรือตัวกั้นระหว่างอุปกรณ์ เพื่อให้ไฟในวงจรเรียบนิ่งก่อนและมีเพียงพอที่จะนำไปทำงานต่อหรือใช้งานในภาคต่อไป โดยการเปลี่ยนแปลงของกระแสและแรงดันในวงจรภาคต่างๆจะไม่ส่งผลกระทบต่อกันเนื่องจากมี DC link Capacitor ทำหน้าที่เป็นตัวกั้นอยู่ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้นอย่างเช่น ในวงจร DC to DC Converter แรงดันไฟเข้า input ที่มาจากวงจรภายนอกจะมาเก็บไว้ที่คาปาซิเตอร์ก่อนเพื่อให้ไฟนิ่งและมีเพียงพอ จากนั้นจึงจะนำไฟที่เก็บเตรียมไว้นี้ไปแปลงระดับแรงดันโดยอุปกรณ์อื่นๆข้างในวงจร เมื่อทำการแปลงไฟแล้วก็ต้องเก็บไฟที่แปลงได้นี้ในคาปาซิเตอร์โดยตรงใกล้ๆบริเวณ Output หรือจุดต่อใช้งานจะมีคาปาซิเตอร์ค่าความจุสูง โดยการดึงไฟของโหลดจะไม่ส่งผลกระทบมากต่อวงจรภายในเนื่องจากมี DC link คาปาซิเตอร์ เป็นตัวกั้นอยู่
วงจร DC to DC Converter แบบปรับค่าได้
สังเกตใกล้ๆจุดต่อ Input และ Output จะมี C ตัวใหญ่
3) ทำหน้าที่กรองไฟให้เรียบ ในวงจรเรียงกระแสไฟเอซีเป็นดีซี ( AC to DC ) ไฟที่ผ่านไดโอดแล้วยังมีการกระเพื่อมมาก ต้องใช้ C ฟิลเตอร์ทำหน้าทีกรองไฟให้เรียบ หลังจากผ่าน C ฟิลเตอร์นี้แล้วไฟจะเรียบมากขึ้นแต่ก็จะก็ยังมีการกระเพื่อมอยู่เล็กน้อยซึ่งยังไม่เหมาะนำไปใช้งาน ต้องใช้วงจรรักษาระดับแรงดันไฟ ( Voltage Regulator ) เพื่อทำไฟให้เรียบนิ่งที่สุดก่อนจึงจะเหมาะกับการใช้งาน
C ฟิลเตอร์
ทำหน้าที่กรองไฟให้เรียบ สังเกตจุดที่ 3 ไฟจะเรียบ
C ตัวใหญ่ ค่าความจุสูง ใกล้ๆไดโอดบริดจ์ ทำหน้าที่กรองไฟให้เรียบ
หน้าที่และการนำคาปาซิเตอร์ตัวใหญ่ๆไปใช้งาน ระบุไว้ใน Datasheet ตรงการนำไปใช้งาน ( Application ) ยกตัวอย่าง ตรงที่วงสีแดงไว้ Datasheet ของ Vishay BCcomponents Screw Terminals Aluminum Electrolytic Capacitors จะสังเกตว่าสามารถนำไปใช้ได้หลายวงจรที่เน้นกระแสสูง ตัวอย่างที่ 2 เป็น Datasheet ของ Cornell Dubilier Electronics (CDE) Type CGS Screw Terminal Capacitors ตรงที่ขีดสีเหลืองไว้คือ กรองไฟให้เรียบ ( Filtering ) และ เก็บพลังงานไฟฟ้า ( Energy Storage )
From Datasheet Vishay BC components Screw Terminals Aluminum Electrolytic Capacitors model : 101/102 PHR-ST ใช้เป็นตัวอย่างการนำ C ตัวใหญ่ไปใช้งาน
From Datasheet Cornell Dubilier Electronics (CDE) Type CGS Screw Terminal Capacitors
ใช้เป็นตัวอย่างการนำ C ตัวใหญ่ไปใช้งาน
4) เชื่อมโยงสัญญาณหรือคัปปลิ้ง ( Coupling ) คุณสมบัติของคาปาซิเตอร์จะกั้นไฟ DC และยอมให้สัญญาน AC ผ่านไปได้ ไฟ DC ที่ใช้เลี้ยงหรือไบอัสวงจรขยายภาคต่างๆจะแยกกันโดยใช้คาปาซิเตอร์เป็นตัวกั้นและเชื่อมโยงเฉพาะสัญญาณระหว่างภาคขยายโดยใช้คาปาซิเตอร์คัปปลิ้ง
C
เชื่อมโยงสัญญาณ หรือ C คัปปลิ้ง ( Coupling )
5) กรองความถี่แบบต่างๆ วงจรกรองความถี่นั้นมีหลายแบบ โดยจะใช้ C เป็นอุปกรณ์หลักในวงจร เช่น กรองความถี่ต่ำผ่าน กรองความถี่สูงผ่าน กรองสัญญาณรบกวนหรือกรองความถี่ที่ไม่ต้องการทิ้ง จะอธิบายเพิ่มเพื่อให้เห็นภาพ จากคุณสมบัติของคาปาซิเตอร์จะเก็บประจุและคายประจุเมื่อเราต่อตัวต้านทานเข้าไปขัดขวางมันจะใช้เวลานานมากขึ้นในการเก็บประจุและคายประจุ อย่างเช่นในวงจรไฟกระพริบแค่เปลี่ยนค่า C หรือค่า R จะทำให้ระยะเวลาการกระพริบเปลี่่ยนไปคือเร็วขึ้นหรือช้ามากขึ้น ดังนั้นคาปาซิเตอร์จึงเกี่ยวข้องกับความถี่และคาบเวลา ( Frequency and Timing ) ชื่อหน้าที่คาปาซิเตอร์ที่ทำหน้าที่กรองสัญญาณรบกวน เช่น Bypass คาปาซิเตอร์ , Decoupling Capacitor ดูรูปประกอบ
คาปาซิเตอร์ชนิด X มี 1 ตัว 0.1uF และ คาปาซิเตอร์ชนิด Y มี 2 ตัว 2200pF
คาปาซิเตอร์ชนิด X Class X2 และ คาปาซิเตอร์ชนิด Y ทำหน้าที่กรองสัญญาณรบกวน ( RFI : Radio Frequency Interference ) ทิ้ง คาปาซิเตอร์ชนิด X และ Y นี้อยู่ใน EMI Line Filter และภาคจ่ายไฟ โดยความถี่สูงจะผ่านไปไม่ได้ ส่วนความถี่ต่ำคือไฟ 220Vac 50Hz จะผ่านไปได้ เป็นวงจรกรองความถี่ต่ำผ่าน
C ดีคัปปลิ้ง มีค่าความจุน้อย นิยมใช้ C ชนิด เซรามิค
C ดีคัปปลิ้ง ( Decoupling ) ช่วยให้ไฟเลี้ยง IC นิ่งที่สุด IC ต้องการไฟเลี้ยงที่นิ่งมากโดยเฉพาะ IC พวกดิจิตอล ไฟที่เข้ามาอาจกระเพื่อมเนื่องจากสาเหตุต่างๆจากอุปกรณ์ตัวอื่นๆ เช่น มีการสวิตชิ่งเพื่อตัดต่อ อุปกรณ์ตัวอื่นมีการดึงกระแส เป็นต้น ไฟกระเพื่อมนี้จะส่งผลกระทบไปทั่ววงจร โชคดีคาปาซิเตอร์ดีคัปปลิ้งช่วยกั้นการกระเพื่อมนี้ไว้ และคาปาซิเตอร์ดีคัปปลิ้งยังช่วยบายพาสความถี่สูงลงกราวน์ไม่ให้เข้าไปรบกวนการทำงานของ IC ด้วย
6) ทำหน้าที่ป้องกันวงจรและทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตัวอื่นๆทำงานเสถียรมากขึ้น
ทำหน้าที่ป้องกันวงจรโดยใช้เป็นสนับเบอร์ ( Snubbering ) จากคุณสมบัติพื้นฐานของตัวเก็บประจุคือแรงดันไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงแบบทันทีทันใดไม่ได้ มันต้องใช้เวลาในการเก็บประจุและคายประจุ มีการนำคาปาซิเตอร์ไปใช้ในวงจรสนับเบอร์เพื่อลดและควบคุมอัตราการเปลี่ยนแปลงแรงดันให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยให้ไตรแอคและเอสซีอาร์ ดังนั้นแรงดันไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงแบบเร็วเกินไปจะไม่ทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เสียเนื่องจากมีวงจรสนับเบอร์ช่วยไว้ และทำให้เราประหยัดต้นทุนด้วยคือไม่ต้องใช้อุปกรณ์ที่สเปคแรงดันสูงเกินไปที่มีราคาแพง โดยใช้วงจรสนับเบอร์ลดอัตราการเปลี่ยนแปลงแรงดันให้ต่ำลงมา ผลคืออุปกรณ์ตัวอื่นๆในวงจรก็สามารถใช้สเปคแรงดันที่ต่ำลงมาและมีราคาถูกลงทั้งวงจร
จาก Datasheet IC 78XX C1 และ C2 จะมีค่าความจุน้อย เช่น C1 = 0.22uf
C1 ทำหน้าที่ช่วยให้ไฟเข้า IC นิ่ง จำเป็นต้องต่อเมื่อ IC อยู่ห่างมากจาก C ฟิลเตอร์
C2 ทำหน้าที่ช่วยเรื่อง Transient response
IC หลายเบอร์ต้องมีการต่อ R ต่อ C ภายนอกให้มัน บางเบอร์ Datasheet ของ IC ระบุเป็นค่ามาให้เลย และ บางครั้งต้องคำนวณหาค่า R ค่า C ตามสูตรเอง
การนำตัวเก็บประจุไปใช้งานในวงจรไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์
คาปาซิเตอร์นั้นมีหลายชนิด คาปาซิเตอร์ 1 ชนิดสามารถนำไปใช้งานได้หลายวงจรแต่ไม่สามารถนำไปใช้งานได้ทุกวงจร อย่างเช่น C ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงสัญญาณหรือคับปลิ้ง ถ้าเป็นความถี่ต่ำสามารถใช้คาปาซิเตอร์ชนิดอิเล็กทรอไลต์เกรดดีๆมีกระแสรั่วไหลต่ำๆได้ ถ้าเป็นความถี่สูงต้องใช้ C ชนิดฟิล์มโพลีโพไพลีน อีกหนึ่งตัวอย่างคือการกรองสัญญาณรบกวนความถึ่สูงออกจากไฟ AC มาตรฐานกำหนดต้องเป็นคาปาซิเตอร์ชนิดฟิล์ม Class X และ Y
Source : Credit Wikipedia
รูปสรุป ชนิด C และการนำคาปาซิเตอร์ไปใช้งานกับวงจรต่างๆ
ขอบคุณรูปจาก Wikipedia อธิบายให้เห็นภาพรวมการนำ C ชนิดต่างๆไปใช้งานว่ามันจะมีบางวงจรที่สามารถใช้ C ได้หลายชนิด แต่ก็จะมีบางวงวรที่เจาะจงและนิยมใช้ C ชนิดๆนั้นอาจมีเหตุผล 1-2-3 เช่น เรื่องสเปคทางไฟฟ้า ต้นทุนหรือราคา การหาง่าย ขนาดความโต และมาตรฐานกำหนด เป็นต้น
สรุปชนิดคาปาซิเตอร์และการไปใช้งานกับวงจรต่างๆ
1) วงจรที่เกี่ยวกับคาบเวลาหรือ Timing ต้องการ C ที่ไม่มีกระแสรั่วไหลเลยและมีการสูญเสียต่ำมากๆจึงใช้ C ชนิดฟิล์ม
2) C ทำหน้าที่คัปปลิ้ง ต้องการ C มีคุณสมบัติการสูญเสียน้อยมากๆและไม่มีกระแสรั่วไหลหรือน้อยมากๆ ตอบสนองความถี่ย่านนั้นๆได้ดีมาก นิยมใช้ C ชนิดฟิล์มไมล่า หรือ โพลีโพไพลีน(ซึ่งดีกว่าไมล่า)
3) งานกรองสัญญาณรบกวน ( EMI RFI Suppression ) มีใช้ทั้ง C ชนิดฟิล์มและ C ชนิดเซรามิค ขึ้นอยู่กับความถี่ที่ต้องการกำจัดและค่าความจุที่ได้จากการคำนวณด้วย
4) งาน DC Link / DC Buffering ใช้ C ชนิดอิเล็กทรอไลต์ สังเกตจะเป็น C ค่าสูงๆ ในวงจรแปลงไฟคอนเวอเตอร์แบบต่างๆ
5) งานควบคุมมอเตอร์ คือ Capacitor Start และ Capacitor RUN ใช้ C ชนิดฟิล์มเนื่องจากมันไม่มีขั้วและทนไฟ AC ได้ดีมาก อีกทั้งเป็นแบบที่นิยมผลิตมาใช้งานจนเป็นมาตรฐานไปแล้ว เช่น C ที่ใช้กับพัดลม C ที่ใช้กับปั๊ม C ที่ใช้กับแอร์หรือเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น คือมันจะเป็น C ใช้เฉพาะงานไปเลย
6) งานกรองไฟให้เรียบหรือ C Filter ในวงจรเรียงกระแสไฟ AC-DC นิยมใช้ C ชนิดอิเล็กทรอไลต์เนื่องจากให้ค่าความจุที่สูงมาก มีขนาดเล็กและราคาไม่แพง ถ้าใช้ C ชนิดฟิล์มที่มีค่าความจุสูงๆ ราคาจะแพงมากทำให้ต้นทุนการผลิตสูงมาก อีกทั้งยังมีขนาดใหญ่กินพื้นที่มากด้วยจึงไม่นิยมใช้ C ชนิดฟิล์ม
7) งานอื่นๆ ให้สังเกตจากวงกลมด้านบนเพิ่มเติม จะมีชนิดคาปาซิเตอร์และชื่อวงจรหรือการนำไปใช้งานต่างๆ มันจะพื้นที่ทับซ้อน คืองานนี้สามารถใช้ C ได้หลายชนิด ให้ตั้งคำถามและสังเกตเพื่อสะสมข้อมูลไปเรือยๆ ว่า วงจรประเภทนี้เขานิยมใช้ C ชนิดอะไร ? ก็จะได้ข้อมูลจากงานจริงเพิ่มเติมนอกจากที่ได้อธิบายไว้ในบทความนี้ สำหรับนักศึกษาสาขาไฟฟ้า- อิเล็กทรอนิกส์มีการบ้าน ลองค้นหาข้อมูลหัวข้อต่อไปนี้เพิ่มเติมในเน็ตซึ่งใช้เวลาไม่มาก เช่น 1. การแก้พาวเวอร์เฟคเตอร์นิยมใช้ C ชนิดอะไร ? 2. วงจรครอสโอเวอร์เน็ตเวิร์ค นิยมใช้ C ชนิดอะไร ? 3. C ในวงจรเครื่องเสียงเกรดดีๆ มีลักษณ์เป็นอย่างไร 4. วงจรที่เป็นสัญญาณพัลซ์นิยมใช้ C ชนิดอะไร ? เป็นต้น หรืออาจค้นหาข้อมูลจากรูปในวงกลมได้ส่วนหนึ่ง ลองใช้คำค้นว่า " วงจรครอสโอเวอร์ " ในกูเกิ้ลและดูรูป ก็จะเห็นรูป C ที่นิยมใช้กับวงจรครอสโอเวอร์ ( เป็นวงจรกรองความถี่เสียง )
วิธีการใช้มัลติมิเตอร์ วัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
มี 15 บท การใช้งานมัลติมิเตอร์ เพื่อวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
- เช็ค ดี / เสีย เป็น
- วัดอุปกรณ์เป็น ครบอุปกรณ์ที่สำคัญ
- เตรียมตัวไปทำงาน หรือ สมัครงาน มีพื้นฐานดี สามารถต่อยอดไปได้ไกล
บริษัทหรือหน่วยงานต่างๆต้องการคนที่มีพื้นฐานดีและเตรียมพร้อมจะทำงาน
เมื่อเข้าไปทำงานแล้วใช้เวลาเรียนรู้งานไม่มาก
- ลดต้นทุน ใช้ของให้คุ้มค่า อุปกรณ์หายากแล้วจำเป็นต้องซ่อมเพื่อใช้งานต่อ
ทำงานเกี่ยวกับการซ่อมบำรุง
อ่านได้ที่ Google Play Books คลิกที่รูปปกหนังสือ จะไปยังหน้าหนังสือให้
หรือ ตามที่อยู่นี้ >>
ปก หนังสือ E- book " การวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับงานซ่อม "
อ่านได้ที่ Google play books มี 15 เรื่อง ในเล่ม
มีรูปประกอบเยอะ เข้าใจง่าย
อ่านที่ Mebmarket ได้ทั้ง Android และ IOS
Mebmarket ร้าน E book ชั้นนำของไทย
ใช้ชื่อหนังสือค้นใน google ก็เจอ เช่นกัน
ชื่อ : การวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับงานซ่อม
สาธิตวิธีวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มีรูปประกอบเยอะและมีตัวอย่างชัดๆ
> เข้าใจง่ายเพราะมีรูปประกอบจำนวนมาก
> สะดวกสำหรับยุคนี้ คือ อ่านผ่าน App " Google Play Books " ในมือถือ
สำหรับมือใหม่และคนที่สนใจการวัดอุปกรณ์ดีเสียเพื่อซ่อมวงจรและทำงานเกี่ยวกับวงจรอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า หนังสือ " การวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับงานซ่อม " นี้
มีเนื้อหาถึง 15 บท โดยครอบคลุมการวัดอุปกรณ์ที่สำคัญ ๆ อ่านได้ที่
Google Play Books โดยทำตาม 2 ขั้นตอน ต่อไปนี้
1) ลง App ก่อน ชื่อแอป Google Play Books (อยู่ที่ Play Store ในมือถือ )
2) ค้นหาชื่อหนังสือ ...... ค้นหาผ่าน google ........โดยใช้ชื่อหนังสือค้น หรือ ใช้คำค้นว่า
" 15 Lesson Test Electronic Components (Thai ) การวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับงานซ่อม "
หรือ คลิกตามด้านล่างนี้ จะพาไปยังหน้าหนังสือนี้เลย ที่ Google Play Books
ตัวอย่าง หัวข้อในหนังสือ
ครบ การวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญ หนังสือ " การวัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับงานซ่อม "
มี 15 บท มีให้อ่านที่ร้านอีบุ๊คชั้นนำ Google Play Books และ MEBMARKET
หนังสือสำหรับ ช่างซ่อม นักศึกษา วิทยาลัยเทคนิค อาชีวะ สายอาชีพ และผู้ทีสนใจหนังสือช่าง
สารบัญมี 15 บท ดังนี้
1) วิธีวัดไอจีบีที 2) วิธีวัดมอสเฟต 3) วิธีวัดไตรแอค 4) วิธีวัดเอสซีอาร์
5) วิธีวัดทรานซิสเตอร์ 6) วิธีวัดไอซี DIP 8 ขา 16 ขา 20 ขา 7) วิธีวัดไอซี OPTO
8) วิธีวัดไอซีเร็กกูเลเตอร์ตระกูล 78XX 79XX
9) วิธีวัดไดโอด 10) วิธีวัดซีเนอร์ไดโอด 11) วิธีวัดไดโอดบริดจ์ ขั้นเทพ
12) วิธีวัด LED 13) วิธีวัดตัวต้านทาน 14) วิธีวัดตัวต้านทานปรับค่าได้ วัด VR
15) วิธีวัดคาปาซิเตอร์